สิวขึ้นทีไร เราก็คงเสียความมั่นใจ กังวลอยากให้สิวหายไวที่สุด และคงหนีไม่พ้น การฉีดสิว
ยาฉีดสิว คืออะไร?
ยาฉีดสิว คือ สเตียรอยด์ชนิดฉีด ซึ่งนำมาละลายกับยาชา เพื่อลดการอักเสบ ทำให้คนไข้รู้สึกว่าสิวยุบไว ทันใจ แต่แท้จริงแล้ว สิวยังไม่ได้ถูก “รักษา”
ในระยะสั้น การฉีดสิวเพียงไม่กี่ครั้งอาจจะไม่เป็นไร แต่ในระยะยาว ผิวบริเวณนั้นจะบาง และอ่อนแอลง มีลักษณะของโพรงขนที่เปลี่ยนไป และทำให้สิวกลับมาขึ้นที่เดิมในบริเวณที่เคยฉีด คนไข้จะเป็นสิวที่เดิมซ้ำๆ ทำให้ต้องกลับมาฉีดอีกเป็นวงจรไม่รู้จบ และเกิดเป็นปัญหา สิวเรื้อรัง (Chronic Acne) ตามมา
ทำไมถึงไม่ควร ฉีดสิว?
- ไม่ใช่การรักษาสิวที่ต้นเหตุ
- หากฉีดบ่อยๆ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่วงจรสิวเรื้อรัง
- มีโอกาสเกิดหลุม รอยบุ๋ม แม้จะหายได้เองใน 1-2 เดือน
- สิวจะขึ้นง่ายกว่าเดิมในอนาคต
- อาจทำให้เกิดไตแข็งๆ ใต้ผิวหนัง
ลองสังเกตว่าสิวบริเวณที่ฉีด มักจะขึ้นที่เดิมซ้ำๆ และรอยสิวหายช้ากว่าปกติ
นอกจากนั้น หากยาที่ฉีด มีความเข้มข้นของสเตียรอยด์ที่สูง จะทำให้ไขมันใต้ผิวหนังบริเวณนั้นยุบตัวลง เกิดเป็นรอยบุ๋ม ซึ่งกินเวลาหลายเดือนในการกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ทำไมถึงไม่ควร กดสิว?
การกดสิว คือ การใช้ไม้กดสิว เพื่อเอาหัวสิวที่อยู่ใต้ผิวออก การกดสิวบ่อยๆ ทั่วใบหน้า จะมีโอกาสทำให้โพรงขนเสียหายได้ ในทางทฤษฎี การกดสิวสามารถทำได้เป็นครั้งคราว และควรเลือกกดเฉพาะจุดที่จำเป็นก็เพียงพอ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว คนไข้มักจะเข้าคลินิก เพื่อไปกดสิวทั่วใบหน้า และทางคลินิก ก็มักจะพยายามกดออกให้ครั้งละมากๆ “เพื่อให้รู้สึกว่าคุ้ม” อีกทั้งยังใช้ การฉีดสิว เพื่อเป็นการแก้ปัญหาสิวที่อักเสบจากการกด
ดังนั้น จึงเกิดเป็นวงจร กดสิว-ฉีดสิว วนสลับไปมาไม่รู้จบ ต้องกลับไปทำทุกสัปดาห์ จนปัญหาบานปลาย เพราะผิวหน้าอ่อนแอ เกิดเป็นสิวเรื้อรัง (Chronic Acne) ที่รักษาได้ยากกว่าตามมา
สรุป การฉีดสิว กดสิว ทำได้หรือไม่?
การกดสิว ฉีดสิว ไม่ใช่การรักษาที่ปลอดภัยต่อผิวในระยะยาว หากไม่จำเป็นจริงๆ หมอขอให้คนไข้ใช้เป็นทางเลือกสุดท้ายในการรักษา เพราะการฉีดสิว ไม่ใช่การรักษาที่ต้นเหตุ ทั้งยังอาจเป็นสาเหตุของปัญหาสิวในอนาคตได้ค่ะ