Ulthera กับ Thermage ทั้ง 2 อย่างนี้ มีประสิทธิภาพในการยกกระชับผิว ย้อนวัยโดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งมีความแตกต่างของหลักการทำงาน ลักษณะผิว และรูปหน้าที่เหมาะสม บทความนี้จะมาลงรายละเอียดให้เข้าใจ เพื่อให้เลือกการรักษาที่ตอบโจทย์ ได้คุ้มค่าสูงสุดค่ะ
Ulthera กับ Thermage ต่างกันยังไง?
การทำงานของ Ultherapy SPT
Ulthera หรือ Ultherapy คือ เครื่องยกกระชับผิวด้วยพลังงานอัลตราซาวด์ความถี่สูงแบบเฉพาะเจาะจง (High Intensity Focused Ultrasound) ทำให้สามารถลดริ้วรอยได้อย่างล้ำลึก และตรงจุด โดยพลังงานจะสามารถลงลึกได้ถึงผิวชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นผิวที่ใช้ทำหัตถการผ่าตัดยกกระชับผิวหน้า นำเข้าโดย บริษัท Merz Aesthetics
การทำงานของ Thermage FLX
Thermage คือ เครื่องมือในการช่วยยกกระชับผิวหน้าที่ใช้พลังงานคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) ในการช่วยยกกระชับผิวได้ถึงชั้นหนังแท้ (Dermis) โดยหลักการทำงานของเครื่อง Thermage คือการสร้างความร้อนใต้ชั้นผิว กระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจน ช่วยเสริมสร้างอิลาสตินเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว นำเข้าโดย บริษัท Solta Medical
ทั้ง 2 การรักษาเป็น Goldstandard ที่รับรอง US.FDA ในการยกกระชับทั้งคู่ โดยต่างกันที่ความเหมาะสมของผิวผู้รับบริการ
ราคา Ulthera กับ Thermage คิดยังไง?
ทั้ง 2 การรักษามีราคาใกล้เคียงกัน โดยจะคิดราคาตามปริมาณ Shot หรือ Line ที่ใช้
- Ulthera เริ่มต้นที่ 300 lines ราคาประมาณ 29,900.- เป็นต้นไป
- Thermage เริ่มต้นที่ 400 shots ราคาประมาณ 29,900.- เป็นต้นไป
ในการยิงแบบ Standard Fullface ที่แนะนำ ทั้ง 2 จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 4x,xxx-5x,xxx บาท ขึ้นอยู่กับรายละเอียดของแต่ละคลินิก
แบบไหนคุ้มกว่ากัน?
การจะทำทั้งทีให้คุ้มค่า ไม่ควรดูจากราคาเพียงอย่างเดียว แต่ให้ดูจากผลลัพธ์ที่ต้องการเป็นหลัก
- สำหรับ Ultherapy การจะยิงให้เห็นผลได้ชัดทั่วใบหน้า แนะนำให้ยิง 400-600 lines ขึ้นไป
- ส่วน Thermage หากเน้นที่แก้ม 2 ข้าง สามารถทำ 400 shots ก็เพียงพอ แต่สำหรับทั่วใบหน้าจนถึงช่วงคอ แนะนำที่ 900 Shots จะเห็นผลได้ชัดเจนค่ะ
Ulthera กับ Thermage อันไหนเจ็บกว่า?
การทำ Ulthera เจ็บกว่าการทำ Thermage เล็กน้อย เพราะ Ulthera จะเป็นการยิงคลื่นพลังงานแบบเจาะจงเข้าใต้ผิว ทั้งนี้ความรู็สึกอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล
ทั้ง 2 การรักษานี้ ก่อนทำจะมีการทายาชา 45 นาที ซึ่งจะช่วยลดความรู้สึกเจ็บไปได้มาก ในหลายคนอาจไม่รู้สึกเจ็บขนาดที่จะทนไม่ได้ค่ะ
ใครเหมาะกับ Ulthera ข้อดี-ข้อเสีย
ข้อดีของ Ulthera
- มีความแม่นยำในการรักษา แพทย์เห็นชั้นผิวคนไข้บนหน้าจอตลอดเวลา
- ช่วยยกกระชับผิวได้ลึกถึง ผิวชั้น SMAS ชั้นเดียวกับที่ใช้ในการผ่าตัดดึงหน้า (FaceLifting)
- เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที 20-30% ดีที่สุดใน 3 เดือน อยู่ได้ยาวกว่า 1 ปี
- ช่วยให้ใบหน้าดูคมชัด เหมาะกับคนทั่วไป สามารถทำได้ทุกช่วงวัย
- ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น
ข้อสังเกตของ Ulthera
- อาจไม่เหมาะในผู้ที่มีปริมาณไขมันสะสมบนใบหน้าที่มาก เนื่องจากชั้นไขมันอยู่ด้านบน ถึงแม้ผิวจะยกแล้ว แต่ก็อาจจะมองไม่เห็นจากภายนอก จึงอาจทำให้รู้สึกว่าไม่เห็นผลเท่าที่ควร
- ในบางจุดอาจรู้สึกเจ็บมากกว่า เพราะเป็นการปล่อยพลังงานแบบเจาะจง
ใครเหมาะกับ Thermage ข้อดี-ข้อเสีย
ข้อดีของ Thermage
- เด่นในเรื่องการทำให้ผิวกระชับ แน่นเฟิร์ม จากความร้อนที่กระตุ้นชั้นผิวจากบนลงล่าง (Tightening)
- ช่วยในการสลายไขมัน ลดแก้ม ลดเหนียง ใบหน้าจึงดูเข้ารูป แน่นเฟิร์มมากขึ้น (SkinQuality)
- เห็นการเปลี่ยนแปลงได้ทันที 20-30% อยู่ได้ยาวกว่า 1 ปี
- ความเจ็บน้อยกว่า รู้สึกอุ่นๆ
- ไม่มีแผล ไม่ต้องพักฟื้น
- มีหัวสำหรับทำลำตัว เช่น หน้าท้อง ต้นขา ต้นแขน
ข้อสังเกตของ Thermage
- อาจไม่เหมาะในผู้ที่ใบหน้ามีไขมันสะสมน้อย
- หลังทำอาจมีผิวแดงเล็กน้อย เนื่องจากความร้อนสะสม แต่จะหายได้เองในไม่กี่ชม.
สรุป เลือกอะไรระหว่าง Ulthera กับ Thermage
สรุปแล้ว ทั้ง Ulthera และ Thermage เป็นตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงในการยกกระชับ พร้อมกับการฟื้นฟูผิวให้ดูอ่อนเยาว์ทั้งคู่ สิ่งที่สำคัญคือ ลักษณะปัญหาผิว และสิ่งที่ผู้รับบริการต้องการแก้ไข
หากคุณมีผิวที่บาง รูปหน้าเล็ก ไม่มีการสะสมของไขมันมาก การทำ Ulthera จะตอบโจทย์มากกว่าค่ะ หากคุณมีผิวที่หนา มีไขมันสะสมปานกลาง ถึงมาก การทำ Thermage ก็จะเห็นผลคุ้มค่ามากกว่านั่นเองค่ะ