วิธีการสลายไขมันด้วยความร้อน และความเย็น เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน ทั้งสองใช้หลักการเดียวกัน คือ การกำจัดไขมันส่วนเกินออก โดยไม่ต้องผ่า หรือดูดไขมันออก แต่มีความแตกต่างกันอย่างไร บทความนี้มีคำตอบค่ะ
ความแตกต่างระหว่าง การสลายไขมันด้วยความร้อน และความเย็น
สลายไขมันด้วยความเย็น (Cyrolipolysis)
เป็นเทคโนโลยีที่มีมาก่อนความร้อน ใช้การดูดผิวส่วนที่มีไขมันส่วนเกินขึ้นมาไว้ในหัว Applicator และทำการแช่แข็งไว้ที่อุณภูมิ (-10 C) เป็นเวลา 40-60 นาที เพื่อทำให้เซลล์ไขมันเกิดภาวะช็อก (Apoptosis) และสลายไปตามธรรมชาติ เครื่องที่นิยมในปัจจุบัน เช่น Coolsculpting , Z LIPO , Z WAVE เป็นต้น
สลายไขมันด้วยความร้อน (Thermolipolysis)
ถูกพัฒนามาภายหลัง โดยต่อยอดเพื่อปิดผลข้างเคียงจากความเย็น เป็นการใช้เลเซอร์ความยาวคลื่น 1060 nm ส่งพลังงานสู่เซลล์ไขมัน ให้เกิดความร้อนสะสมที่อุณภูมิ 42-47 องศาเซลเซียส โดยสลับกันการปล่อยความเย็น (Cooling) ที่ผิวส่วนบน ลดความรู้สึกร้อน ไม่ทำให้เกิดการเบิร์นของผิว พร้อมกันการสั่นให้ไขมันแตกตัวออก ใช้เวลาเพียง 25 นาที เครื่องที่นิยมในปัจจุบัน เช่น Sculpsure , Slimus
อุณหภูมิมีผลต่อการสลายไขมันอย่างไร?
เซลล์ไขมันจะเข้าสู่ภาวะ Fat Cell Apoptosis หรือเรียกว่าเป็นการตายของเซลล์ อย่างเป็นระบบตามธรรมชาติของร่างกาย โดยสามารถเกิดได้จากการใช้ ความเย็น (สุดขั้ว) หรือความร้อนสะสม ที่เซลล์ไขมันในระยะเวลาที่กำหนด
การกำจัดไขมันด้วยความร้อน และความเย็น ทำได้เฉพาะไขมันใต้ผิวส่วนบนเท่านั้น ไม่สามารถกำจัดไขมันภายในอวัยวะภายในได้ เช่น หากต้องการลดไขมันสะสมในช่องท้อง ต้องอาศัย การลดน้ำหนัก ร่วมด้วย
6 ข้อเด่น ความร้อน และความเย็น
ในแต่ละบุคคล อาจมีการตอบสนองต่อการรักษาทั้งความร้อน และความเย็นที่แตกต่างกัน
จุดเด่น สลายไขมันด้วยความร้อน
ข้อดีของความร้อน
- ประหยัดเวลา เพราะใช้เวลาเพียง 25 นาที
- สามารถทำได้ทั้งจุดที่ไขมันมาก หรือน้อย
- หัว Applicator มีขนาดเล็กกว่า ทำให้เข้าถึงแต่ละส่วนได้ง่าย
- สามารถทำได้พร้อมกันสูงสุด 4 ตำแหน่ง ในครั้งเดียว
- ช่วยในการยกกระชับผิว ลดผิวเป็นคลื่นได้
- ไม่มีผลข้างเคียง ไม่ต้องพักฟื้น เนื่องจากไม่ต้องใช้การดูด จึงไม่มีรอยช้ำหลังทำ
- ทำลายเซลล์ไขมันได้ถึง 24% ในการทำ 1 ครั้ง
ข้อเสียของความร้อน
- เหมาะกับผู้ที่มีค่า BMI ไม่ถึง 30 หากมากกว่านี้อาจไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง
- ผลความกระชับจะเห็นได้ทันที แต่ไขมันใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน ในการสลายไป
- หาคลินิกที่ทำได้ยากกว่า
จุดเด่น สลายไขมันด้วยความเย็น
ข้อดีของความเย็น
- เป็นเทคโนโลยีที่มีมาก่อน สามารถหาทำได้ง่ายกว่า
- เหมาะกับผู้ที่มีไขมันสะสมปริมาณมาก
- ทำลายเซลล์ไขมันได้เฉลี่ย 20-25% ในการทำ 1 ครั้ง
ข้อเสียของความเย็น
- ใช้เวลาทำนานถึง 1 ชม และทำได้เพียง 2 จุดพร้อมกัน
- ทำได้เฉพาะบริเวณที่หัว Applicator ดูดขึ้นมาได้เท่านั้น
- เนื่องจากต้องดูดผิว จึงเกิดผลข้างเคียงหลังทำได้ง่าย เช่น รอยช้ำ เป็นจ้ำ บวมแดง หรือระบม
- หลังทำจำเป็นต้องมีการนวดต่อ เพื่อลดความนูนแดง และป้องกันผิวเป็นคลื่น
- พบเคสที่มีโอกาสเกิด ผลข้างเคียงจากอาการ PAH (Paradoxical Adipose Hyperplasia) ซึ่งแทนที่ไขมันจะลดลง กลับขยายตัวเพิ่มขึ้น
- ผลการรักษาไม่ได้เห็นทันที ใช้เวลาประมาณ 1-3 เดือน
สรุปทำไมเทคโนโลยีความร้อน จึงดีกว่าความเย็น
เทคโนโลยีสลายไขมันด้วยความร้อน ถูกพัฒนามาภายหลัง เพื่อปิดผลข้างเคียง และข้อบกพร่องต่างๆ ที่เกิดจากความเย็น โดยให้ผลการรักษาที่ใกล้เคียงกัน ด้วยการที่เป็นความร้อน จึงช่วยกระตุ้นคอลลาเจนให้ผิวกระชับ เฟิร์มขึ้น ไขมันส่วนที่สลายไป จะไม่เกิดปัญหาผิวเป็นคลื่น เพราะความร้อนใช้การวางหัวไปบนผิว กระจายพลังงานได้สม่ำเสมอ โดยไม่ต้องดูดขึ้นมาแบบความเย็น
นอกจากนี้ ผู้รับบริการส่วนใหญ่ มักไม่อยากให้ผู้อื่นทราบว่าไปทำการสลายไขมันมา รอยช้ำหลังทำที่เกิดจากความเย็น จึงเป็นปัญหาที่หลายคนอาจรับไม่ได้ แต่ในส่วนของความร้อนนั้น หลังทำจะไม่มีอาการใดๆ อาจมีเพียงความแดงเล็กน้อย ไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันใดๆ ค่ะ (Quick and Easy , with no Downtime)