วิธีรักษาฝ้าให้ได้ผล ถึงแม้จะไปพบแพทย์แล้ว หากดูตัวเองไม่ถูกต้อง ก็มีส่วนในการทำให้ฝ้ากลับมาเกิดซ้ำได้ เพราะประเทศไทยมีแสงแดด และความร้อนตลอดทั้งปี จึงมีปัจจัยกระตุ้นให้เกิดฝ้าได้เสมอค่ะ
ฝ้า คืออะไร
คือ ภาวะที่เซลล์สร้างเม็ดสีในผิวหนังทำงานมากขึ้น ในผิวหนังจึงมีเม็ดสี หรือเมลานินมากขึ้น มีการเซลล์สร้างเม็ดสีทำงานจำนวนมากขึ้นแล้ว มักพบฝ้าบริเวณที่ร่างกายสัมผัสแสงแดด เช่น ใบหน้า โดยเฉพาะหน้าผาก แก้ม จมูก เหนือริมฝีปากบน และกราม เป็นต้น ฝ้ามักเริ่มเป็นเมื่ออายุ 30-40 ปี พบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย
เราจะพบว่าฝ้ามักจะเข้มขึ้นเมื่อสัมผัสแสงแดด และสามารถจางลงได้หากหลบแดด นอกจากนี้ยังพบได้บ่อยในผู้ที่รับประทานยาคุมกำเนิด และในผู้ที่ตั้งครรภ์ ปัจจัยด้านพันธุกรรมจึงมีส่วนกำหนดเรื่องความไวของเซลล์สร้างเม็ดสีได้ และยังพบว่าผู้ที่เป็นฝ้าส่วนหนึ่งจะมีญาติสายตรงเป็นฝ้าเหมือนกัน
สาเหตุหลักปัญหาฝ้าในคนไทย
- เกิดจากแสงแดด โดยเฉพาะรังสียูวี (Ultraviolet radiation, UV) จะไปกระตุ้นโดยตรงให้เซลล์สร้างเม็ดสีมีการผลิตเม็ดสีมากขึ้น และยังทำร้ายผิวก่อให้เกิดอนุมูลอิสระ พบว่าตำแหน่งที่มักจะเป็นฝ้ามักเป็นตำแหน่งที่โดนแดดปริมาณมากนั่นเอง
- ฮอร์โมนเพศหญิง มีความสัมพันธ์กับการเกิดฝ้า โดยเฉพาะช่วงวัย 30-40 ปี มีค่าเฉลี่ย 9 ใน 10 คน ต่อเพศชาย 1 คน และช่วงในตั้งครรภ์ บางคนมีฝ้าเกิดขึ้นใหม่ หรือในคนที่เป็นฝ้าอยู่เดิมอาจจะมีฝ้าเข้มมากขึ้น และฝ้ามักจะดีขึ้นภายในระยะเวลา 1 ปี หลังจากคลอดบุตร
- การใช้ครีมที่มีสารสเตียรอยด์ หรือสารปรอท ในสังคมไทยพบว่ามีครีมลักษณะนี้แอบวางขายอยู่เป็นจำนวนมาก มักไม่ทราบแหล่งที่มา อวดอ้างสรรพคุณเกินจริง การใช้สารปรอท เป็นพิษต่อผิวหนัง แม้จะทำให้เม็ดสีลดลงได้ไวชั่วคราว แต่ในระยะยาวจะก่อให้เกิดการแพ้ ผิวบาง และเกิดเป็นฝ้าถาวร
ฝ้า มีลักษณะเป็นปื้น มักเกิดขึ้นบริเวณที่ถูกแสงแดด เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก คาง ไรหนวด
5 ลำดับ วิธีการรักษาฝ้า (ทำได้เอง และ โดยแพทย์)
1. การใช้ครีมกันแดดสม่ำเสมอ
เป็นวิธีพื้นฐานที่ควรทำให้สม่ำเสมอ เพราะแสงแดดที่ประเทศไทยมีค่า UV Index ที่สูง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักในการเกิดฝ้า
ทั้งนี้ สำหรับคนที่เป็นฝ้า ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีความเข้มข้นสูง ชนิดทึบ ไม่ควรใช้สูตรที่บางเบา จึงจะช่วยป้องกันการเกิดฝ้าได้ดี
2. การใช้ SkinCare บำรุงผิว
เวชสำอางค์ต่างๆ ที่มีส่วนผสม เช่น วิตามินซี , อาร์บูติน , กรดโคจิก , สารสกัดชะเอมเทศ เป็นวิธีรักษาฝ้าที่ปลอดภัย เนื่องจากเป็นสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่ำ แต่อาจเห็นผลเปลี่ยนแปลงที่ช้า และต้องทำทุกวัน
3. การใช้ยาทาลดเม็ดสี (จากแพทย์)
เป็นการรักษาฝ้า ที่เหมาะกับฝ้าตื้น เช่น ยาในกลุ่ม Hydroquinone (ไฮโดรควิโนน) / ยาทากลุ่ม (Retinoic Acid) วิตามินเอ เห็นผลได้ดีกว่าการใช้ SkinCare
แต่การใช้ยา มีข้อควรระวัง เพราะยาบางตัวมีความเข้มข้น อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรง เช่น การคัน ผื่นผิวหนัง แสบ และแห้งลอกได้ แนะนำให้เริ่มทาในบริเวณเล็กๆ เพื่อทดสอบผลข้างเคียงดูก่อน
4. การผลัดเซลล์ผิว หรือฉีดผิว
- การผลัดเซลล์ผิว (Chemical Peeling) เป็นการใช้กรด เพื่อให้ผิวส่วนบนผลัดออก อาจไม่เหมาะในผิวคนไทย เนื่องจากจะทำให้ผิวบางลง หากถูกแสงแดด ฝ้าจะกลับมาเข้มมากขึ้นได้
- การฉีดผิว (Skin Injection) เป็นวิธีรักษาฝ้า โดยแพทย์จะใช้ยาที่มีส่วนในการลดเม็ดสี ฉีดเข้าใต้ผิวบริเวณนั้น สามารถปรับได้หลากหลาย โดยขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหาผิวของคนไข้ วิธีนี้จะไม่ทำให้ผิวแห้งลอก ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นจากภายใน
5. การรักษาฝ้าด้วย Picosecond Laser
รักษาฝ้า โดยการใช้เลเซอร์ หรือแสง เป็นเทคโนโลยีล่าสุด Picosecond Laser พัฒนาต่อยอดมาจาก Q-Switched Laser ใช้ในการรักษาเม็ดสีโดยตรง อาศัยการส่งพลังงานที่สูง ในช่วงระยะเวลาที่สั้นมาก ทำให้เม็ดสีแตกตัวละเอียด ช่วยให้ผิวกระจ่างใสได้ไว รวมถึงสามารถยิงเพื่อปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนไปพร้อมกันได้
เลเซอร์ Discovery PICO มีช่วงแสงที่เหมาะกับผิวของคนไทย และมีงานวิจัยที่ทำในผิวคนไทยโดยแฉพาะ ปัจจุบันเป็นวิธีการรักษาผิวที่เห็นผลได้ไว ได้รับความนิยมสูง เนื่องจากมีผลข้างเคียงน้อยกว่าเทคโนโลยีเลเซอร์แบบเก่า
มีวิธีรักษาฝ้าให้หายขาดได้ไหม
สำหรับการใช้ยา สามารถใช้ยาที่มีฤทธิ์ลดการสร้างเม็ดสีซึ่งมีหลายชนิด โดยมากจำเป็นต้องใช้ยาหลายชนิดร่วมกันเพื่อให้ผลการรักษาดีที่สุด เนื่องจากยาที่มีฤทธิ์ลดการสร้างเม็ดสีจะออกฤทธิ์ด้วยกลไกแตกต่างกันไป
ในส่วนของเลเซอร์อาจใช้เพื่อการรักษาเสริมให้ฝ้าจางเร็วขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ฝ้าอาจจะดำขึ้นได้ หรือเกิดรอยขาวบางประเภทภายหลังการรักษาหากเลือกใช้เลเซอร์หรือการตั้งค่าพลังงานเลเซอร์ไม่เหมาะสม หรือกระทำโดยผู้ที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ
ปัจจุบันยังไม่มียา หรือเทคโนโลยีใด ที่ทำให้ฝ้าหายขาดได้ถาวร แต่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้ โดยต้องพิจารณาจากปัจจัยกระตุ้นไปตามแต่ละบุคคล และอาศัยความต่อเนื่องในการรักษา ร่วมกับการดูแลตนเองของคนไข้ระยะยาว
ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลรามามหิดล
การรักษาฝ้า มักจะดีขึ้นชัดเจน หรือสีจางลงในช่วง 1-2 เดือนแรก หลังจากนั้นอาจมีสีเข้มกลับมาบ้าง ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของแต่ละบุคคล
ดังนั้นหลังการรักษา คนไข้ควรมีการดูแลผิวอย่างถูกต้องร่วมด้วยค่ะ
ครีมแก้ฝ้าตัวไหนได้ดีที่สุด
ปัจจุบันมีที่ต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์ และควบคุมการใช้ ในกลุ่มของยา เช่น
- Hydroquinone (ไฮโดรควิโนน)
- Kligman’s formula (ซึ่งประกอบไปด้วย สเตียรอยด์, ไฮโดรควิโนน และอนุพันธ์ของวิตามินเอ)
ซึ่งต้องใช้ในการควบคุมของแพทย์ ในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยา และยังไม่มีครีมตัวใดการันตีการรักษาฝ้าให้หายขาดได้
ให้ระวังคำโฆษณา ยารักษาฝ้าหายขาด หายไวใน 3 วัน 7 วัน ตาม Internet เพราะมักจะแฝงมาด้วย สเตียรอยด์ สารปรอท ที่มีฤทธิ์ทำลายผิว อาจทำให้ผิวขาวชั่วคราว แต่จะเกิด ปัญหาผิวติดสาร แพ้ง่าย ผิวบาง เป็นฝ้าที่รุนแรงกว่าตามมา
ฝ้าที่เกิดจากการใช้ครีม สารปรอท หรือสารสเตียรอยด์
ฝ้าที่เกิดจากการใช้ครีม มักเกิดบริเวณที่มีการทา โดยจะเป็นพื้นที่กว้าง เช่น หน้าผาก หน้าแก้ม โหนกแก้ม จมูก เป็นต้น สารเหล่าช่วยลดการอักเสบ และลดเม็ดสีได้ จึงทำให้ผิวขาวใสได้อย่างรวดเร็วในช่วงแรก
หากใช้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน อาจเกิดเป็นลักษณะด่างขาว หรือฝ้าเข้มในบริเวณนั้นได้
การป้องกันไม่ให้เกิดฝ้า
- หลีกเลี่ยงการให้ผิวถูกแสงแดด และความร้อนโดยตรงเป็นเวลานาน
- หากเป็นฝ้าแล้ว ควรใช้ครีมกันแดดที่มีเนื้อทึบ โมเลกุลเข้มข้น จึงจะช่วยป้องกันการเกิดฝ้าได้
- ไม่เสี่ยงใช้ครีมที่ไม่ทราบแหล่งที่มา หรือไม่น่าเชื่อถือ เช่น ครีมหน้าขาว ที่อวดอ้างสรรพคุณเกินความเป็นจริง
- หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้า เช่น การใช้ยาคุมกำเนิด การตั้งครรภ์
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำ และพักผ่อนให้เพียงพอ
สรุปวิธีรักษาฝ้าในคนไทย
ผิวของคนไทยมักมีสีเข้ม และเราเป็นประเทศที่มีแดดจัด อาหารร้อนตลอดทั้งปี (ค่า UV Index สูง) ปัจจัยเหล่านี้กระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ง่าย ควรเลี่ยงการผลัดผิวทั่วใบหน้าด้วยสารที่รุนแรง ให้รักษาแบบผสมผสาน โดยดูตามการตอบสนองของผิวคนไข้เป็นหลัก
และไม่ว่าจะอยู่ในระหว่าง หรือหลังการรักษา การใช้ครีมกันแดดเป็นปัจจัยสำคัญที่ง่ายที่สุด ในการป้องกันไม่ให้เกิดฝ้าในอนาคต รวมถึงการดูแลผิวอย่างเหมาะสมกับผิวของเรา แม้จะยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ช่วยให้ฝ้าจางลง และมีผิวที่ดีขึ้นได้ค่ะ